วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หนองคาย - นายกเมืองท่าบ่อ ชี้แจงกรณีชาวบ้านในชุมชนป่างิ้วมีความเดือดร้อน ให้ช่วยแก้ปัญหาถนนจรดลสวรรค์ มีสภาพชำรุดและมีน้ำขัง นายกฯระบุ ได้จัดสรรค์งบซ่อมแซมไว้แล้วกว่า 7 ล้านบาท แต่เสนอสภาฯไม่ผ่านพิจารนาเห็นชอบงบประมาณ



       จากกรณีชาวบ้านในชุมชนป่างิ้ว หมู่ 1 เขตเทศบาลเมืองท่าบ่อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อเทศบาลเมืองท่าบ่อ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 60 ระบุว่า ประชาชนชาวชุมชนป่างิ้ว หมู่ 1มีความเดือดร้อนที่ถนนจรดลสวรรค์ ถนนทรุดและเมื่อเวลาฝนตกก็มีน้ำขังตามใหล่ถนน บริเวรหน้าร้านเต่าทอง ร้านเจเจสแตนเลส และจากบริเวณแยกไฟแดง ถึงหน้าบ้านดาบชาติ ระยะทางประมาณ 500 เมตร เนื่องจากไม่มีร่องน้ำ ทำให้ประชาชนที่สัญจรไปมาได้รับความเดือดร้อน ขอให้เทศบาลเมืองท่าบ่อช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย (นายบุหงา บุญเกิด ประธานชุมชนป่างิ้ว หมู่ 1)


       ล่าสุดวันนี้(29 มิ.ย. 60) นายประพาส นครภักดี นายกเทศบาลเมืองท่าบ่อ ได้ชี้แจงว่า ทางเทศบาลไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ และทราบถึงปัญหาของชาวบ้านในชุมชนป่างิ้ว หมู่ 1 และประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนที่สัญจรไปมาที่บริเวณถนนจรดลสวรรค์แล้ว ทางเทศบาลฯได้ประมาณการค่าใช้จ่ายโครงการสิ่งก่อสร้างไว้ 6 โครงการ เป็นงบประมาณเพื่อจ่ายขาดเงินสะสม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 หนึ่งในนั้นก็คือโครงการก่อสร้างขยายผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก(คสล.) พร้อมทางเดินเท้าและท่อระบายน้ำถนนจรดลสวรรค์ จากหน้าโรงสีข้าวบุญสนอง ถึงแยกไฟแดงน้ำโมง งบประมาณ 7,252,000 บาท โดยได้ทำการเสนอต่อที่ประชุมสภาเทศบาลไปแล้ว 3 ครั้ง แต่ติดปัญหาที่ว่าไม่ผ่านพิจารนาเห็นชอบร่างงบประมาณดังกล่าวจากสภาเทศบาลเมืองท่าบ่อ จึงไม่มีงบที่จะไปแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนได้


บุรีรัมย์ - อ.บ้านกรวด บุรีรัมย์ ร่วมหลายหน่วยงานตั้งคณะทำงานช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัยและการศึกษาของเด็ก 5 พี่น้องสุดเวทนาใช้ชีวิตอยู่ลำพังในบ้านเช่าหลังพ่อทิ้ง แม่ตระเวนรับจ้างตัดอ้อยหาเงินมาเลี้ยงลูกทั้ง 5 คน ล่าสุดปิดบัญชีรับบริจาคแล้วหลังมียอดบริจาค 552,675 บาท และเตรียมตั้งกรรมการร่วมดูแลการใช้จ่ายเงินให้เกิดประโยชน์แก่เด็ก


       วันที่ 28 มิ.ย.60 นายวินัย โตเจริญ นายอำเภอบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ พร้อมนางอรภา พุทธจักร ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองบ้านกรวด, นายพงษ์สิทธิ์ สิริมาศกุล นายกเทศมนตรีตลาดนิคม, จ.ส.อ.โสภาส พิลามา หัวหน้าชุดปฏิบัติการรักษาความสงบเรียบร้อย ร.23 พัน.4, เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว และเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.บุรีรัมย์ ได้เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจพร้อมมอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือ 5 พี่น้อง อายุ 2 ขวบเศษถึง 13 ปี ประกอบด้วย ด.ช.ศิมนต์ เพ็งสุข หรือน้องฟลุค อายุ 13 ปี, ด.ช.บุญญฤทธิ์ อยู่คง หรือน้องเฟีย อายุ 11 ขวบ, ด.ญ.สลิลทิพย์ อยู่คง หรือน้องข้าวฟ้าง เรียนอยู่ชั้น ป.3, ด.ญ.พรพิมล ป้อมหมั่น อายุ 6 ขวบ และ ด.ช.อรุณ จิตวงษา หรือน้องฟอร์ด อายุ 2 ขวบเศษ ที่ใช้ชีวิตอยู่กันตามลำพังในบ้านเช่าไม่ทราบเลขที่ ในหมู่บ้านสายโท 1 ใต้ หมู่ 7 ตำบลปราสาท อำเภอบ้านกรวด โดยไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแลมานานร่วมปี หลังจากพ่อแยกทางกับแม่ และแม่ต้องไปตระเวนรับจ้างตัดอ้อยต่างจังหวัดเพื่อหาเงินมาเลี้ยงตัวเองและลูกทั้ง 5 คน
       พร้อมกันนี้ยังได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัยและการศึกษาของเด็กทั้ง 5 คนด้วย เพื่อให้เด็กได้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ยังเห็นชอบให้ปิดบัญชีรับบริจาค หลังมีผู้มีใจบุญและผู้มีจิตศรัทธาบริจาคมาช่วยเหลือแล้วจำนวน 552,675 บาท เนื่องจากเห็นว่ายอดเงินดังกล่าวน่าจะเพียงพอกับค่าใช้จ่ายและการศึกษาของเด็กแล้ว
       รวมทั้งจะมีการตั้งกรรมการซึ่งประกอบด้วย ตัวแทนอำเภอ เทศบาล ผู้ใหญ่บ้าน และ ด.ช.ศิมนต์ หรือน้องฟลุค ขึ้นมาดูแลการเบิก-จ่ายเงินบริจาคดังกล่าวด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เด็กตามจุดประสงค์ของผู้บริจาค
       ขณะที่เด็กๆ ได้กล่าวขอบคุณผู้ใจบุญและผู้มีจิตศรัทธาทุกคนที่บริจาคเงินและสิ่งของมาช่วยเหลือพวกตนทั้ง 5 คนพี่น้อง เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่และการศึกษาที่ดี


       ด้าน น.ส.นภัสสร สุขกำเนิด กรรมการหมู่บ้าน บอกว่า หลังจากมีการนำเรื่องราวของเด็กๆ ทั้ง 5 คนเผยแพร่ทางสื่อ ได้มีผู้ใจบุญบริจาคเข้ามาช่วยเหลือเป็นจำนวนมากกว่า 552,000 บาทแล้ว ทางคณะกรรมการจึงได้หารือกันและเห็นชอบร่วมกันว่าให้ปิดบัญชีรับบริจาค เพราะยอดเงินจำนวนดังกล่าวเพียงพอที่จะใช้จ่ายและค่าเล่าเรียนของเด็กๆ แล้ว ซึ่งทางคณะกรรมการฯ เองจะช่วยดูแลเรื่องการเบิก-จ่ายเงินด้วยเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เด็ก ส่วนเรื่องที่อยู่อาศัยขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกัน พร้อมขอเป็นตัวแทนขอบคุณในน้ำใจของผู้ใจบุญทุกคนที่ช่วยเหลือเด็กๆ ด้วย.

หนองคาย - ตชด.245 หนองคาย ยึดยาบ้าซุกกระเป๋าเป้วางริมฝั่งแม่น้ำโขงกว่า 102,000 เม็ด ก่อนขยายผลรวบสองหนุ่มลาว ขณะข้ามสะพานมารับค่ายาบ้า อ้างทางเหนือกดดันหนัก เลยเปลี่ยนเส้นทางมาทางอีสาน


       วันที่ 28 มิ.ย.60 ที่ ตชด.245 หนองคาย นายสุชาติ นพวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย , พ.ต.ท.บุญเลิศ วิเศษชาติ ผบ.ร้อย ตชด.245 หนองคาย พร้อมเจ้าหน้าที่ ร่วมกันตรวจสอบยาบ้าบรรจุห่อ 51 มัด ประมาณ 102,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเป้สีดำ โดย พ.ต.ท.บุญเลิศ วิเศษชาติ ผบ.ร้อย ตชด.245 หนองคาย ได้รับแจ้งว่ามีผู้ค้ายาบ้ารายใหม่พยายามจะนำยาบ้าเข้ามาขายในประเทศไทย จึงได้สนธิกำลังกับหน่วยงานข้างเคียง ติดต่อล่อซื้อยาบ้าจากนายสมริด มหาพล อายุ 49 ปี ชาวบ้านห้วยทรายเหนือ เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว จำนวน 1 แสนเม็ด

        เวลาประมาณ 02.00 น. ได้รับแจ้งว่านายสมริด ให้คนนำยาบ้ามาวางไว้ให้แล้วบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ชุมชนวัดธาตุใต้ เขตเทศบาลเมืองหนองคาย และจะมารับค่ายาบ้าในช่วงเที่ยง จึงนำกำลังไปตรวจสอบ พบกระเป๋าเป้สีดำ วางอยู่ในพงหญ้า ภายในบรรจุห่อวัตถุสีน้ำตาล 17 ก้อนใหญ่ หรือ 51 มัด เป็นยาบ้ารวมกันประมาณ 102,000 เม็ด

       ต่อมาเวลาประมาณ 12.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุมตัวนายสมริด มหาพล และนายสีลัก แก้วสะหวัด อายุ 41 ปี ชาวบ้านโพนสวรรค์ เมืองศรีโคตร แขวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ขณะนั่งรถแท็กซี่ข้ามสะพานมิตรภาพไทย ลาว เข้ามาในตัวเมืองหนองคาย เพื่อมารับค่ายาบ้าจากสายลับ

       จากการสอบสวนเบื้องต้น นายสมริด ให้การรับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้นำยาบ้าจากฝั่งประเทศเมียนมาร์ เข้าไทยทางภาคเหนือ แต่ปรากฏว่าถูกทางการไทยกดดันปราบปรามหนัก จึงเปลี่ยนเส้นทางมายังภาคอีสาน และต้องการหาคนมาช่วยกระจายยาบ้าให้ โดยซื้อยาบ้าจากฝั่งเมียนมาร์ มัดละ 11,000 บาท นำมาขายในไทย มัดละ 1 แสนบาท ซึ่งได้ราคาสูงขึ้นหลายเท่าตัวมาก


       ส่วนนายสีลัก ให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิด เพียงแค่รู้จักกับนายสมริด และนายสมริดให้ตนพาเดินทางเข้ามาหนองคายเท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้สืบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ศรีสะเกษ – ชาวบ้านวัย 67 ปี ชาวอำเภออุทุมพรพิสัย ออกเก็บผักริมถนนเจอถุงภายในมีห่อคล้ายยาบ้า รีบแจ้งผู้ใหญ่บ้านและเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบ พบยาบ้ารวม 3.4 หมื่นเม็ด คาด โยนทิ้งเพราะเจอด่านตำรวจทางหลวง

       เมื่อเวลา 07.30 น. วันนี้ (28 มิ.ย. 60) พ.ต.อ.ภิญโญ สุทธิสาร ผกก.สภ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ และ นายสุระชาติ แก้วศิลา นายอำเภออุทุมพรพิสัย นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.อุทุมพรพิสัย พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตรวจสอบบริเวณถนนทางหลวง 226 กม.ที่ 254 ช่วงบ้านหนองแคน ต.สำโรง อ.อุทุมพรพิสัย หลังจากที่มีชาวบ้านแจ้งว่าพบถุงพลาสติกข้างในมีห่อบรรจุยาบ้า ตรวจสอบพบยาบ้า 15 มัด

       นางคำมี แพงแสน อายุ 67 ปี ผู้พบเห็นและแจ้งเจ้าหน้าที่ ให้การว่า ขณะแวะมาเก็บผักริมถนนบริเวณที่เกิดเหตุ พบถุงพลาสติกดังกล่าวจึงลองเปิดดู เห็นว่าห่อเป็นมัดๆ คล้ายห่อยาบ้าในข่าว จึงแจ้งผู้ใหญ่บ้านประสานแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ

       ด้าน พ.ต.อ.ภิญโญ เผยว่า จากการตรวจนับยาบ้าที่พบได้ของกลาง 30,000 เม็ด ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง เก็บยาบ้าที่ตกอยู่ข้างถนนใกล้กับบริเวณที่เกิดเหตุได้อีก 4,000 เม็ด รวมยาบ้าที่ตรวจยึดได้ 34,000 เม็ด พร้อมกันนี้ สั่งการให้ตำรวจชุดสืบสวนเร่งสืบสวนล่าตัวเจ้าของยาบ้ามาดำเนินคดี


        ทั้งนี้มีรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง มีการตั้งจุดตรวจจุดสกัดบริเวณสี่แยกส้มป่อย ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 800 เมตร คาดว่าเจ้าของยาบ้าเห็นจุดตรวจจึงโยนถุงทิ้งเพื่อหนีความผิด.

วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หนองคาย - เทศบาลตำบลกองนาง ร่วมกับศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.)อำเภอท่าบ่อ ฝึกอบรมประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทาน (ดอกดารารัตน์, ดอกแก้ว) จำนวน 5,500 ดอก



       เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 27 มิ.ย.60 ที่ห้องประชุมเทศบาลตำบลกองนาง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย นายกนก ศรีวิชัยนันท์ นายอำเภอท่าบ่อ เป็นประธานเปิดฝึกอบรมประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทาน(ดอกดารารัตน์, ดอกแก้ว) โดยมี นายชัยบัญชา ศรีมงคล นายกเทศบาลตำบลกองนาง กล่าวรายงาน มี คณะผู้บริหารเทศบาล ผู้นำท้องถิ่น/หมู่บ้าน พนักงาน/ลูกจ้างเทศบาล ประชาชน นักเรียน นักศึกษา และจิตอาสาร่วมฝึกอบรมจำนวนมาก


        สำหรับการฝึกอบรมประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทาน (ดอกดารารัตน์, ดอกแก้ว) ในครั้งนี้ เป็นความร่วมกันระหว่างเทศบาลตำบลกองนาง กับ กศน.อำเภอท่าบ่อ โดยสนับสนุนครู กศน. เป็นวิทยากรประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ครั้งนี้ เพื่อเตรียมการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยอย่างสมพระเกียรติ ของอำเภอท่าบ่อและจังหวัดหนองคาย โดยจะมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์และปลูกดอกดาวเรืองถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกด้วย ซึ่งจะประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทาน (ดอกดารารัตน์, ดอกแก้ว) จำนวน 5,500 ดอก












บุรีรัมย์ - สุดเวทนา 5 พี่น้องที่ อ.บ้านกรวด วัย 2 ขวบ ถึง 13 ปีใช้ชีวิตอยู่กันตามลำพังในบ้านเช่า หลังพ่อแยกทางไปมีครอบครัวใหม่ แม่ต้องตระเวนรับจ้างตัดอ้อยต่างจังหวัดส่งเงินมาให้ลูกซื้ออาหารประทังชีวิตครั้งละ 1 พันบาท “น้องฟลุ๊ค” ต้องรับภาระดูแลน้องทั้ง 4 ชีวิตตามอัตภาพ วอนภาครัฐและผู้ใจบุญช่วยเหลือ ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ขณะนี้มีเด็กชายและหญิง 5 คนพี่น้อง อายุ 2 ขวบเศษ ถึง 13 ปี ใช้ชีวิตอยู่กันตามลำพังอย่างขัดสนลำบาก ในบ้านเช่าไม่ทราบเลขที่ ในหมู่บ้านสายโท 1 ใต้ หมู่ 7 ต.ปราสาท อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ โดยไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล


       วันที่ 27 มิ.ย.60 ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อไปถึงบ้านเช่าหลังดังกล่าวก็พบกับเด็ก 5 คนพี่น้องใช้ชีวิตอยู่กันเองตามลำพังจริงๆ คือ ด.ช.ศิมนต์ เพ็งสุข หรือน้องฟลุ๊ค อายุ 13 ปี ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ม.1 โรงเรียนบ้านกรวดวิทยาคาร, ด.ช.บุญญฤทธิ์ อยู่คง น้องเฟีย อายุ 11 ขวบ เรียนชั้น ป.5, ด.ญ.สลิลทิพย์ อยู่คง น้องข้าวฟ่าง เรียนชั้น ป.3, ด.ญ.พรพิมล ป้อมหมั่น อายุ 6 ขวบ เรียนชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนสายโท 1 ใต้ และ ด.ช.อรุณ จิตวงษา หรือน้องฟอร์ด อายุ 2 ขวบเศษ เรียนอยู่ศูนย์เด็กก่อนเกณฑ์เทศบาลตลาดนิคมบ้านกรวด

       โดยเด็กทั้ง 5 คนเป็นลูกของนางปณิตตา พันธ์ทา อายุ 37 ปี แต่คนละพ่อ ซึ่งหลังจากพ่อแม่แยกทางกัน พ่อก็ไปมีครอบครัวใหม่ ส่วนแม่ก็ต้องตระเวนดิ้นรนไปทำงานรับจ้างตัดอ้อยยังต่างจังหวัดเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเองและลูกๆ จึงต้องปล่อยให้ลูกทั้ง 5 คนใช้ชีวิตอยู่กันตามลำพังเป็นเวลาร่วม 1 ปีแล้ว นานๆ จึงจะได้กลับมา

         ส่วนสาเหตุที่ต้องเช่าบ้านอยู่เพราะแม่มีภูมิลำเนาอยู่ จ.ชลบุรี ไม่มีญาติอยู่ใน จ.บุรีรัมย์ หลังแยกทางกับสามีก็ต้องขอเช่าบ้านคนในหมู่บ้านเดือนละ 500 บาทให้ลูกอยู่อาศัย

ซึ่งช่วงที่แม่ไม่อยู่ ด.ช.ศิมนต์ หรือน้องฟลุ๊ค พี่ชายคนโต ต้องรับภาระดูแลน้องทั้ง 4 คน แต่ละวันน้องฟลุ๊คต้องตื่นแต่ตี 5 มาหุงข้าวทำกับข้าว เตรียมเสื้อผ้าชุดนักเรียน อาบน้ำให้น้องและเดินไปส่งโรงเรียน หลังจากนั้นตัวเองถึงจะเดินทางไปเรียนในตัวอำเภอ


หลังเลิกเรียนน้องฟลุ๊คก็จะรีบกลับมาหุงหาอาหาร ซักผ้า ล้างจาน สอนน้องทำการบ้าน และพาน้องๆ เข้านอนจนกลายเป็นหน้าที่ที่ต้องทำประจำทุกวัน ส่วนเงินที่นำมาซื้อกับข้าว และให้น้องๆ ไปโรงเรียนก็เป็นเงินที่แม่ส่งมาให้ 1-2 สัปดาห์ ประมาณครั้งละ 1,000 บาท

       ซึ่งน้องฟลุ๊คบอกว่าต้องใช้อย่างประหยัด บางวันก็จะแวะซื้อแกงจืด หรือกับข้าวมาอย่างเดียว แล้วหุงข้าวกินกันเองทั้ง 5 คนพี่น้องตามอัตภาพ สร้างความเวทนาสงสารแก่ชาวบ้านที่พบเห็น บางครั้งก็จะนำข้าว อาหารมาให้บ้าง

       อย่างไรก็ตาม ถึงแม้วันนี้น้องฟลุ๊คจะมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์เหมือนคนอื่นถูกพ่อทอดทิ้ง แม่ก็ต้องตระเวนรับจ้างไปเรื่อย แต่น้องฟลุ๊คก็ทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่คอยดูแลน้องทั้ง 4 คนตามลำพังได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นเด็กขยัน เรียนดี ได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันทักษะวิชาคณิตศาสตร์ทั้งระดับเขต และระดับนานาชาติ คว้ารางวัลเหรียญทองมาแล้ว แต่สิ่งที่น้องฟลุ๊คอยากได้คือ อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ทั้งอยากมีทุนการศึกษาสำหรับตนเอง และน้องทั้ง 4 คน เพื่อจะได้เรียนสูงๆ มีความฝันอยากเป็นตำรวจเพราะเป็นอาชีพที่มั่นคง


       ขณะที่พระอาจารย์อ๊อด เจ้าอาวาสวัดจันทร์นิมิต และประธานศูนย์บรรเทาทุกข์ศิษย์วัดจันทร์ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งได้รับทราบข่าวขณะเดินทางมาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ก็ได้เดินทางมาดูที่บ้านเช่าหลังดังกล่าว เมื่อเห็นสภาพก็รู้สึกหดหู่ใจที่เด็กอายุเพียง 13 ปีต้องทำหน้าที่ดูแลน้องทั้ง 4 คนตามลำพัง จึงได้นำเรื่องราวดังกล่าวไปโพสต์ในเฟซบุ๊ก ก็มีลูกศิษย์บริจาคเงินผ่านศูนย์บรรเทาทุกข์ศิษย์วัดจันทร์ มาช่วยเหลือเด็กทั้ง 5 คนในเบื้องต้นจำนวน 8,000 บาท ทั้งนี้ยังได้ซื้อข้าวของและจักรยานมามอบแก่เด็กๆ เพื่อเป็นการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ในเบื้องต้นเท่าที่จะช่วยได้ เพราะลำพังเงินค่าแรงที่แม่ของเด็กตระเวนรับจ้างตัดอ้อยคงไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูทั้ง 5 คนได้

       จึงอยากฝากให้หน่วยงานภาครัฐ หรือผู้มีจิตศรัทธา ที่ต้องการทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็สามารถช่วยเหลือได้ เพื่อให้เด็กๆ ได้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่านี้


         หากผู้ใจบุญหรือผู้มีจิตศรัทธาต้องการช่วยเหลือเด็ก 5 พี่น้องก็สามารถติดต่อประสานได้ที่พระอาจารย์อ๊อด หมายเลข 06-1264-7891 หรือ น.ส.นภัสสร สุขกำเนิด กรรมการหมู่บ้าน เบอร์โทร 09-8634-2487 ได้ หรือบริจาคได้ที่ชื่อบัญชี ด.ช.ศิมนต์ เพ็งสุข หมายเลขบัญชี 020220677817 บัญชีเงินฝากเผื่อเรียก ธนาคารออมสิน สาขาบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์.

หนองบัวลำภู - แซ้บแซ่บ สองผัวเมียหนองบัวลำภู ทำพิซซ่าหน้าลาบ พิซซ่าหน้าส้มตำ ออกมาขายเรียกเรตติ้งชูเป็นสูตรสำเร็จที่ลงตัว ถึงขนาดเขยฝรั่งอิตาลียังพาครอบครัวมานั่งกินเป็นประจำ ตอบโจทย์ได้ลงตัวทั้ง 2 สไตล์ พร้อมยังบริการส่งถึงบ้านในเขตเทศบาลฯ ด้วย


       วันที่ 27 มิ.ย.60 ที่ จ.หนองบัวลำภู มีสองผัวเมีย ผลิตพิซซ่าหน้าลาบ พิซซ่าหน้าส้มตำ ออกมาขายเรียกเรตติ้ง ประยุกต์อาหารอิตาเลี่ยนกับอาหารท้องถิ่นแดนอีสานอย่างส้มตำ และลาบหมู จึงได้เดินทางไปสอบถามที่ ร้านบัวขาวสเต๊ก ตั้งอยู่ที่ 126/2 หมู่ 2 ต.ลำภู อ.เมืองหนองบัวลำภู ริมทางหลวงสาย 210 ก่อนถึงโลตัสหนองบัวลำภู พบ น.ส.ภัทรวรรธน์ (จูนจูน) วงษ์ตรีศรี และนายสุภิศักดิ์ (ต้น) บัวขาว อายุ 35 ปี สองสามีภรรยา เจ้าของร้านบัวขาวสเต๊ก โดยได้โชว์สูตรเด็ดการทำพิซซ่าหน้าที่ค่อนจะออกไปทางภาคอีสาน ด้วยการทอดก้อนเนื้อหมูปรุงรสลาบหมูสูตรอีสานขนานแท้ ทั้งเผ็ด เปรี้ยว นัว ไม่ขาดข้าวคั่วและพริกป่น

       จากนั้นจึงนำมาโปะโรยหน้าแป้งพิซซ่าที่รองหน้าด้วยซอสพริก ซอสมะเชือเทศ และชีส ก่อนจะโรยซ้ำด้วยชีสอีกชั้นแล้วนำไปอบนาน 15 นาที ก่อนนำเปเปอร์มินต์ (สะระแหน่) มาแต่งหน้าพร้อมพริกแห้งทอดกรอบเสริมรสชาติ พร้อมเสิร์ฟอย่างได้รสฝรั่งเขยอีสานขนานแท้เลยเชียว นอกจากนี้เจ้าของร้านยังทำเมนูพิซซ่าหน้าส้มตำทอด ไว้บริการลูกค้าโดยเขยอีสานบ้านเดิมอยู่อิตาลี พาครอบครัวมาสั่งกินกันเป็นประจำ เพราะกินกันได้ทั้งครอบครัว


       จูนจูน เผยว่าสาวอีสานส่วนใหญ่มักจะติดใจส้มตำ ไปอยู่กับสามีที่ต่างประเทศก็ต้องแสวงหาส้มตำมาทานให้ได้ ครั้นพอกลับมาเมืองไทยคุณสามีก็มักจะหาอาหารฝรั่งกิน แต่แถวบ้านหายาก พอได้พิซซ่าหน้าส้มตำก็ถือว่าตอบโจทย์ความอยากินได้อย่างลงตัว โดยการทำก็เริ่มจากอบแป้งพิซซ่าที่โรยหน้าซอสและชีสหนานุ่ม นำเส้นมะละกอทอดกรอบมาโรยหน้า พร้อมทั้งน้ำยำส้มตำที่เน้น เปรี้ยว เผ็ด แต่ไม่ใส่น้ำปลาร้าเพราะเกรงกลิ่นจะรุนแรงไป เท่านี้ก็ดึงดูดครอบครัวเขยฝรั่งมานั่งกินกันได้แบบสบายๆ ได้แล้ว สำหรับพิซซ่าที่ร้านจะทำ 2 ขนาด ราคา 129 บาท และ 249 บาท มีบริการส่งในเขตเทศบาลเมืองหนองบัวลำภูฟรีอีกด้วย.

พิษณุโลก - นายก อบจ.ให้กำลังใจ พร้อมมอบทุนการศึกษาให้ “น้องเก้า-เซียนเปตองฝีมือขั้นเทพวัย 11 ขวบ” จนสมาคมฯ เรียกคัดตัวร่วมทีมชาติเดือนหน้า แนะอย่าคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว-ต้องหมั่นซ้อม และเล่นกีฬาอื่นเป็นแนวทางเข้าเรียนต่อ ร.ร.กีฬา อบจ.


       วันที่ 27 มิ.ย.60 ด.ช.วีรภัทร เทศสลุด อายุ 11 ขวบ นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนประชาสรรค์วิทยา ม.10 ต.บ้านไร่ อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก หรือน้องเก้า หนูน้อยนักกีฬาเปตองที่มีฝีมือขั้นเทพ เคยออกรายการซูเปอร์ 10 ทางสถานีเวิร์คพ้อยท์ โชว์ความสามารถโยนลูกได้อย่างแม่นยำ พร้อมด้วยนางก้อนทอง เทศสลุด ผู้เป็นย่า และนายนพดล โพธิ์ดง ครูประจำชั้น ป.5 ร.ร.ประชาสรรค์วิทยา โค้ชของน้องเก้า ได้เดินทางไปที่ อบจ.พิษณุโลก เพื่อเข้าพบนายมนต์ชัย วิวัฒน์ธนาฒย์ นายก อบจ.พิษณุโลก ที่ต้องการพบน้องเก้า เพื่อให้กำลังใจเด็กนักเรียน และเป็นผู้ที่มีความตั้งใจอยากจะเข้าเรียนต่อชั้น ม.1 ที่โรงเรียนกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก

       นายมนต์ชัยได้ทักทายและกล่าวชื่นชมความสามารถของน้องเก้าในฝีมือโยนลูกเปตองแม่นชั้นเซียน พร้อมกับให้คำแนะนำให้น้องเก้ามีความมุ่งมั่นขยันฝึกซ้อมต่อไป อย่าคิดว่าตัวเองเก่งอยู่แล้ว ให้คิดว่ายังมีคนอื่นที่มีความสามารถและเก่งอยู่อีกมาก ขอให้น้องเก้าหมั่นฝึกซ้อมและอวยพรให้ประสบความสำเร็จในการจะเข้าไปคัดเลือกเป็นตัวแทนนักกีฬาเยาวชนทีมชาติไทย ที่สมาคมเปตองให้ไปคัดตัวในเดือนกรกฎาคม 2560 นี้

       นายมนต์ชัยยังแนะนำให้น้องเก้าสนใจเรียนในห้องเรียน และฝึกกีฬาประเภทอื่นเพิ่มเติมด้วย เนื่องจาก ร.ร.กีฬา อบจ.พิษณุโลก เปิดรับสมัครนักเรียนที่มีความสามารถด้านกีฬา 7 ประเภท เช่น มวย ฟุตบอล วิ่ง ฟุตซอล แต่ไม่มีกีฬาเปตอง ซึ่งน้องเก้ารูปร่างและสุขภาพดี ขอให้ฝึกกีฬาประเภทอื่นเพิ่มเติม อาจจะเป็นกรีฑา หรือวิ่ง จะได้มีโอกาสในการสมัครเข้าเรียนต่อในชั้น ม.1 ร.ร.กีฬา อบจ.พิษณุโลก ได้


        และในโอกาสนี้ นายก อบจ.พิษณุโลกได้มอบทุนการศึกษาแก่น้องเก้าเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการแข่งขันกีฬาเปตอง สร้างชื่อเสียงให้หมู่บ้าน โรงเรียน และจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งน้องเก้าได้นำทุนการศึกษามอบให้คุณย่าเก็บไว้ เพราะแต่ละวันใช้เงินไม่มาก โดยคุณย่าทองก้อนให้เงินไปโรงเรียนวันละ 20 บาท แบ่งใช้วันละ 10 บาท ที่เหลืออีก 10 บาทจะฝากเก็บเงินไว้ที่โรงเรียนทุกวัน

         ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความรู้สึกอย่างไรที่ไปออกรายการและโชว์ความสามารถในการโยนลูกเปตองได้อย่างแม่นยำ น้องเก้าเปิดเผยว่า ดีใจมากที่ได้แสดงความสามารถโยนเปตอง หลังจากนี้ก็จะยังคงฝึกซ้อมเปตองทุกวันให้มากขึ้น เพราะกว่าจะโยนเปตองได้แม่นขนาดนี้ได้ผ่านการซ้อมที่หนักมาก ซ้อมทั้งเช้าก่อนไปโรงเรียน กลางวันที่โรงเรียน และช่วงเย็นในหมู่บ้านประมาณ 2 ชั่วโมง พร้อมกับตระเวนแข่งขันตามสนามต่างๆ ที่เขาจัดทั่วไปในพิษณุโลก และจังหวัดใกล้เคียง
น้องเก้าบอกอีกว่า ส่วนการคัดเลือกเป็นตัวแทนเยาวชนทีมชาติไทยในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนั้นก็จะต้องซ้อมให้หนักขึ้น เพิ่มเวลาซ้อมมากกว่าเดิม และเพิ่มระยะการโยน การตีให้ไกลขึ้น จากปกติเคยฝึกระยะ 6-7 เมตร ก็จะฝึกระยะการตีไกลขึ้นเป็น 9 เมตร

       ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่น้องเก้าจะเป็นที่รู้จักในฐานะนักเปตองฝีมือชั้นเทพ น้องเก้าเป็นเด็กที่ช่วยงานทางบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และปิดเทอม น้องเก้ามักจะขึ้นรถไปกับคุณพ่อ และคุณย่าทองก้อนเพื่อขายกล้วยน้ำว้า กล้วยหอม ที่ตลาดใต้ ตลาดเช้าของคนเมืองพิษณุโลกเป็นประจำ ซึ่งน้องเก้าบอกว่าหลังจากนี้ก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ถ้าไม่ติดแข่งขันก็จะมาช่วยย่าทองก้อนขายกล้วยที่ตลาดใต้ต่อไป
ด้านนายนพดล โพธิ์ดง ครูประจำชั้น ป.5 ร.ร.ประชาสรรค์วิทยา โค้ชผู้ฝึกสอนน้องเก้า เปิดเผยว่า สมาคมเปตองได้ให้โอกาสน้องเก้าไปคัดตัวเป็นตัวแทนเยาวชนทีมชาติ 20-22 ก.ค. 60 นี้ ที่สนามกีฬาหัวหมาก กทม. เพื่อไปแข่งขันเปตองที่ประเทศจีน เป็นการเปิดโอกาสให้น้องเก้า เพราะสมาคมฯ มีนักกีฬาที่คัดตัวไปแล้ว 64 คน จะได้หรือไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

       และหลังจากนี้การดำเนินชีวิตของน้องเก้าคงเหมือนเดิม แต่การฝึกซ้อมจะฝึกซ้อมสมาธิมากขึ้น การอ่านเกม เสริมประสบการณ์ในการเล่นเป็นทีมมากขึ้น เพราะการฝึกตี ฝึกคนเดียว แต่หลังจากนี้ต้องเล่นเป็นทีม
นายนภดลเปิดเผยต่อว่า อยากให้คนทั่วไป เยาวชน หันมาลองเล่นกีฬาเปตองดูบ้าง ซึ่งเป็นกีฬาที่เล่นได้ง่าย เป็นกีฬาที่ฝึกสมาธิ ฝึกความอดทน ฝึกความมีระเบียบวินัยด้วย.

“พาณิชย์”จับมือจังหวัดอุดรธานี และตลาดอุดรเมืองทอง เปิดตลาดเฉพาะสินค้า (Magnet Market) นำผลไม้จากทั่วทุกภาคของประเทศมาจัดจำหน่ายให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว เผยไฮไลต์เด็ด บุฟเฟ่ต์ทุเรียนและผลไม้ กินได้ไม่อั้น ราคาหัวละ 399 บาท เฉพาะวันเปิดงาน 28 มิ.ย. หัวละ 199 บาท และยังมีการจำหน่ายผลไม้ตามฤดูกาล อาหารทะเล สินค้าธงฟ้าด้วย

       นางกุลณี อิศดิศัย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพาณิชย์ภาค 1 (Mini MOC 1) เปิดเผยว่า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกับเทศบาลนครอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ตลาดกลางผักและผลไม้จังหวัดอุดรธานี (ตลาดอุดรเมืองทอง) จัดงาน King Fruits Paradise of Thailand : Durian Festival Udon Thani ระหว่างวันที่ 28 มิ.ย.-15 ก.ย.2560 ณ ตลาดอุดรเมืองทอง เพื่อส่งเสริมให้เป็นตลาดเฉพาะสินค้า (Magnet Market) บนพื้นที่ 1,820 ตรม. โดยจะมีการนำผลไม้สดจากทุกภาคของประเทศไทยมาจำหน่ายให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว

       ทั้งนี้ ในการจัดงาน ได้รับเกียรติจากนายสนธิรัตน์ สนธิจรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน และยังให้เกียรติสาธิตการทำข้าวเหนียวทุเรียน ยำทะเลรวมมิตร สูตรลับเฉพาะที่อร่อยที่สุดให้แขกที่มาร่วมงานและสื่อมวลชนได้ลิ้มลองด้วย

        สำหรับการจัดงานครั้งนี้ นอกจากเป็นการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดเฉพาะสินค้าแล้ว ยังเป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลผลิตให้กับเกษตรกร และทำให้ประชานและนักท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงประชาชนและนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้บริโภคผลไม้สดจากทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งจะมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคให้ขยายตัวได้เพิ่มขึ้น
นางกุลณีกล่าวว่า กิจกรรมภายในงานที่เป็นไฮไลต์สำคัญของการจัดงานครั้งนี้ คือ เทศกาลบุฟเฟ่ต์ทุเรียน และผลไม้ โดยมีราคา 399 บาทต่อคน สามารถบริโภคผลไม้ทั้งทุเรียนและผลไม้อื่นๆ ได้ไม่อั้น ภายในระยะเวลา 1.30 ชั่วโมง และจะมีโปรโมชั่นพิเศษสุดในวันพุธที่ 28 มิ.ย.2560 ราคา 199 บาทต่อคน โดยมีวันละ 3 รอบๆ ละ 80 คนของทุกวัน คือ รอบที่ 1 เวลา 12.00 – 13.30 น. รอบที่ 2 เวลา 15.00 – 16.30 น. และรอบที่ 3 เวลา 17.30 – 19.00น.


       นอกจากนี้ ยังจัดให้มีการการจำหน่ายสินค้าเกษตรผลไม้สดทุกชนิดตามฤดูกาล เช่น ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง มะละกอ ผักสวนครัว ที่ปลอดภัยจากสารพิษ รวมทั้งสินค้าเกษตรแปรรูป , การจำหน่ายอาหารทะเล ทั้งสด แปรรูป และอาหารตามสั่ง โดยยกอาหารทะเลสดๆ ทั้งกุ้ง หอย ปูปลา ปลาหมึก มาไว้ที่ตลาดแห่งนี้ โดยสามารถเลือกซื้อ ปรุงรับประทานได้ไม่อั้น , การจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด ร้านธงฟ้าประชารัฐ รวมทั้งจะมีการจัดนิทรรศการให้ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ และมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านทุกวัน พิเศษสุดในวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2560 ยังได้พบกับศิลปินขวัญใจชาวไทย ตุ๊กกี้ ชิงร้อย ชิงล้าน.

บึงกาฬ - สุดอนาถ 3 หนูน้อยพี่น้องหญิง 2 ชาย 1 วัยเพียง 9 ขวบ 7 ขวบ และ 5 ขวบ ถูกแม่ทิ้งให้อยู่กับพ่อ ต้องคอยปรนนิบัติพ่อเมื่อเมากลับบ้าน แต่ครั้งสุดท้ายผิดปกติพ่อตัวเย็นเจี๊ยบจึงหาผ้าห่มให้ เฝ้าดูอาการจนถึงสายวันใหม่พบพ่อไม่มีลมหายใจ ทั้งยังเขียนจดหมายอาลัยพ่อ สุดท้ายเพื่อนบ้านเห็นผิดปกติเข้ามาดูพบว่าเสียชีวิตแล้ว

       วันที่ 26 มิ.ย. 60 ที่เมรุวัดพูลสุขวราราม บ้านหนองหิ้ง ต.ท่ากกแดง อ.เซกา จ.บึงกาฬ ได้มีพิธีฌาปนกิจศพนายพีระพันธ์ หงษ์ทวี อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 109 หมู่ที่ 8 บ้านศรีอำนวยพร ต.ท่ากกแดง ซึ่งบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามวัดพูลสุขวราราม มีญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านที่ทราบข่าวมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางเสียงร้องไห้ระงมของลูกสาวผู้ตาย 2 คน คือ เด็กหญิงอาทิตยา หรือจ๋อมแจ๋ม หงษ์ทวี อายุ 9 ขวบ นักเรียนชั้น ป.4 และเด็กหญิงจิรดา หรือเจี๊ยบ หงษ์ทวี อายุ 7 ขวบ นักเรียนชั้น ป.1 ทั้งคู่เรียนอยู่โรงเรียนชุมชนบ้านห้องหิ้ง

       ก่อนหน้าพิธีฌาปนกิจศพ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 60 ร.ต.อ.กนกพล แก้วธานี รอง สว.(สอบสวน) สภ.เซกา อ.เซกา รับแจ้งจากนางดารณี ไกรทัศน์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8 ว่ามีคนเสียชีวิตในห้องน้ำที่บ้านเลขที่ 109 หมู่ที่ 8 บ้านศรีอำนวย จึงไปตรวจที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พญ.วริศา ชื่นจิตกุลถาวร แพทย์โรงพยาบาลเซกา และมูลนิธิธรรมรัศมีมณีรัตน์มังกรหนองหิ้ง

       พบศพนายพีระพันธ์ หงษ์ทวี อายุ 54 ปี สภาพศพนอนหงายนุ่งเพียงผ้าขาวม้าผืนเดียวอยู่ข้างอ่างน้ำ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือบาดแผลใดๆ ในร่างกาย คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 10 ชั่วโมง มีเด็กหญิงจ๋อมแจ๋ม หรืออาทิตยา อายุ 9 ขวบ และเด็กหญิงจิรดา อายุ 7 ขวบ น้องสาวร้องไห้ระงมอย่างน่าเวทนาอยู่ข้างๆ ศพผู้เป็นพ่อ และมีจดหมายเขียนเอาไว้ 3 ฉบับวางอยู่ใกล้ศีรษะนายพีระพันธ์

ฉบับแรกเขียนว่า ทำไมคุณพ่อไม่ตื่นสักที หนูคิดถึงคุณพ่อมาก ทำไมคุณพ่อไม่ตื่น หรือว่าคุณพ่อไม่รักหนู ลาก่อนฉบับที่ 2 “โอ้คุณพ่อที่รัก ขออย่าให้คุณพ่อตาย ขอให้คุณพ่อฟื้น ขอให้อยู่กับหนูตลอดไป และขอให้เป็นจริง สาธุและฉบับที่ 3 หัวกระดาษมีวาดรูปการ์ตูนเป็นรูป 3 พี่น้องโดยมีน้องชายคนเล็กวัยเพียงขวบกว่าๆ ยืนอยู่ตรงกลาง มีข้อความว่า หนูร้องไห้ไม่หยุด เพราะคุณพ่อไม่รักหนูสามคนทำเอาคนที่เห็นจดหมาย 3 ฉบับนี้แล้วต่างน้ำตาซึมไปตามๆ กัน

         เด็กหญิงอาทิตยาเล่าว่า พ่อแม่ทะเลาะกันทิ้งให้พวกหนู 3 คนอยู่กับพ่อเมื่อ 3 เดือนก่อน พ่อจะเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามไว้ขายในบ่อซีเมนต์หลังบ้าน แต่กุ้งยังไม่โตพอขาย และก็ตายไปหลายตัวจึงเครียดดื่มเหล้า พอเมามักจะไปอ้วกในห้องน้ำ หนูกับน้องเจี๊ยบจะเป็นคนคอยเอาผ้าไปเช็ดหน้าเช็ดตัวให้ คืนวันเสาร์ก็ทำเช่นเดียวกัน พ่อกรนเสียงดังแล้วเงียบไป จับดูตัวเย็นจึงเอาผ้าห่มมาห่มให้พ่อ และเอาน้ำมาวางไว้ใกล้ศีรษะเผื่อพ่อหิว แล้วจึงพาน้องเข้านอน

       หลังจากตื่นมาตอนสายวันอาทิตย์จึงพาน้องไปอาบน้ำ พบว่าพ่อยังไม่ตื่นจึงเอามืออังดูที่จมูกไม่มีลมหายใจ สงสัยว่าพ่อตายไปแล้วหรือเปล่า จึงได้เขียนจดหมาย 3 ฉบับนี้ขึ้นมา หลังจากนึ่งข้าวเสร็จ จึงออกจากบ้านไปเซ็นไก่ย่างมากินกับน้องๆ เดี๋ยวพ่อจะมาจ่ายเหมือนทุกครั้ง มีคนถามหลายคนว่าพ่อไปไหนไม่เห็นออกจากบ้าน บอกว่าพ่อตายแล้วในห้องน้ำก็ไม่มีใครเชื่อ จนคนขายไก่ย่างมาดูพบว่าพ่อตายจริงๆ

        ด้านนางสัน หงษ์ทวี อายุ 26 ปี ภรรยา หลังจากทะเลาะกับผู้ตายได้ทิ้งลูกไปพร้อมกับลูกสาวคนเล็กสุดที่ยังไม่หย่านมหนีไปทำงานที่กรุงเทพฯ กับเพื่อน หลังจากทราบสามีตายจึงรีบกลับมาไม่คิดว่าจะหย่าขาดไปเลยยังรักและเป็นห่วงลูกๆ อยู่ หลังจากจัดการงานศพสามีแล้วเสร็จ คงต้องคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงจะเลี้ยงลูกให้โตอย่างมีคุณค่า.

วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สระแก้ว - ตำรวจสระแก้วจับนักโทษหนีคดียาเสพติดแล้ว เจ้าตัวเผยไม่ได้กลัวติดคุก แต่กลัวถูกเพื่อนรุมซ้อมในเรือนจำ

       จากกรณีที่นายสันติ ขุมเงิน อายุ 37 ปี นักโทษคดียาเสพติด ได้สะเดาะกุญแจมือ กระโดดลงจากรถตู้ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหน้าต่าง ขณะจอดติดไฟแดง สีแยกสระขวัญ เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา  และวิ่งหนีเข้าป่าอ้อย ต่อมา พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบก.สภ.จว.สระแก้ว ได้สั่งการให้เจ้าหน้าตำรวจ กว่า 300 นายเข้าค้นหาในพื้นที่ ตลอด 3 วัน 2 คืน

       ล่าสุดเมื่อเวลา 08.20 น. วันที่ 25 มิ.ย.60 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ในป่าอ้อย หลังบ้านหนองนกกระเรียน โดยพบว่า นายสันติ อยู่ในอาการอ่อนแรง และยอมให้เจ้าหน้าที่จับกุมแต่โดยดี จากนั้น เจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่งที่ สภ.เมืองสระแก้ว เพื่อดำเนินคดีต่อไป

       พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนง ผบก.ภ.จว.สระแก้ว กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ใช้วิธีการปิดล้อม 2 วัน ก็ยังหาตัวไม่เจอหลังจากเที่ยงเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ได้ปรับกลยุทธ์ ในการหาข่าวใหม่ กลยุทธ์ในการอำพรางตัวของเจ้าหน้าที่ พร้อมได้รับข้อมูลข่าวสารที่ดี จากประชาชนในละแวกนั้นด้วย ซึ่งให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับทางราชการดีมาก นำไปสู่การจับกุมผู้จับกุมในที่สุด


       ด้าน นายสันติ สารภาพว่า ขณะนั่งอยู่ในรถได้ขยับมือไปมา จนกุญแจมือหลุดออกมาเอง จากนั้นได้ลอดออกทางหน้าต่างฝั่งคนขับรถ จากนั้นก็วิ่งเข้าป่าอ้อย เจ้าหน้าที่ตามไม่ทัน จากนั้นได้ไปถึงบ้านนกกระเรียน เข้าไปซื้อขนมกิน และได้จ้างให้รถจักรยานยนต์ไปส่งที่ข้างทางใกล้ป่าอ้อย และนอนอยู่ในป่าตลอด ซึ่งระหว่างนั้นเห็นเฮลิคอปเตอร์ของเจ้าหน้าที่บินตรวจพื้นที่ด้วย โดยตลอดระยะเวลา 3 วันกินแต่น้ำอย่างเดียว และสาเหตุที่หนีออกมาไม่ได้กลัวติดคุก แต่กลัวเพื่อนๆ ที่อยู่ในคุกรุม

หนองคาย จัดแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียน “นาน้ำพายเกมส์”

หนองคาย – โรงเรียนบ้านนาน้ำพาย จัดแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียน “นาน้ำพายเกมส์” ประจำปีการศึกษา 2560         วันนี้ ( 27 ธ.ค. 2560 ) ที...